ใครที่กำลังฺ Balance ความอ้วนด้วยการใช้วิธีควบคุมอาหารมานานแสนนาน แต่พอลองไปชั่งน้ำหนักกี่ที ๆ เข็มบนตาชั่งก็ไม่กระดิกลงสักที ลองสำรวจตัวเองด้วยค่ะว่า คุณได้ลดการบริโภค "น้ำตาล" ด้วยหรือเปล่า?
นั่นเพราะ "น้ำตาล" ตัวการของความอ้วนที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของคุณนี่ล่ะคะ ที่ทำให้รอบเอวของคุณขยายออกแบบขัดใจกับความพยายาม Balance น้ำหนักเสียจริง โดยมีข้อมูลระบุว่า ได้กำหนดให้ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่ได้รับใน 1 วัน เพื่อสุขภาพที่ดี ใน 1 วันเราควรทานน้ำตาลไม่เกิน 4, 6 และ 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1600, 2000 และ 2400 กิโลแคลอรี (หรือผู้หญิงไม่ควรเกิน 4 ช้อนชา, ผู้ชายไม่ควรเกิน 6-8 ช้อนชา) ซึ่งเท่ากับประมาณร้อยละ 5 โดยเฉลี่ย โดยส่วนที่เหลือได้เผื่อไว้สำหรับน้ำตาลที่ได้รับจากอาหารอื่นซึ่งไม่ทราบปริมาณ
แต่เอ...ดูเหมือนว่าคนไทยจะทานน้ำตาลกันมากถึงวันละ 25 ช้อนชา ซึ่งน้ำตาลเหล่านี้ที่ทำให้เราอ้วน ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจจะทานเข้าปากโดยตลอดหรอกนะจ๊ะ แต่เพราะมันซุกซ่อนอยู่ในส่วนผสมอาหารหลายชนิด รวมทั้งที่คาดไม่ถึงอย่าง "เครื่องดื่ม" ที่เราดื่มกันเข้าไปด้วย
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่นำเสนอในรายการ "Fat Fact ความจริงรอบพุง" ทางช่องไทยพีบีเอส ได้บอกให้เรารู้ว่า "เครื่องดื่ม" ที่วางขายอยู่ในท้องตลาดมี "น้ำตาล" เป็นส่วนผสมในปริมาณมหาศาลอย่างน่าตกใจ และมากเพียงพอที่จะทำให้โรคร้ายย่างกรายมาทำร้ายสุขภาพของเราซะด้วย
....เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เห็นทีจะต้องไปสำรวจดูปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ กันดูเสียหน่อย จะได้รู้กันไปเลยว่า เครื่องดื่มชนิดไหนน่ากลัวสุด ๆ ขอบอกก่อนว่า เครื่องดื่มหลายชนิด ดื่มเพียงแค่ 1 แก้ว 1 ขวด หรือ 1 กล่อง ก็มีน้ำตาลเกิน 4-6 ช้อนชา ซึ่งเป็นปริมาณต่ำสุดที่แนะนำให้ทานในหนึ่งวันซะแล้ว แล้วแบบนี้ถ้าเกิดเผาผลาญไม่หมด น้ำตาลจะถูกเปลี่ยนรูปไปเป็นไขมัน แล้วจะไม่ให้อ้วนได้อย่างไรล่ะ?
สำรวจปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ
กาแฟ 3 in 1 1 ซองเล็ก มีน้ำตาลผสมอยู่ 2.7 ช้อนชา
กาแฟสด 1 แก้ว มีน้ำตาลผสมอยู่ 7 ช้อนชา
น้ำผักและผลไม้ 1 ขวด (300 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 37 กรัม หรือ 7.7 ช้อนชา
น้ำผลไม้ผสม 1 ขวด (400 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 10 ช้อนชา
น้ำอัดลม 1 กระป๋อง (325 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 8 ช้อนชา
เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวด (100 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 6.25 ช้อนชา
เครื่องดื่มเสริมหล่อ 1 ขวด (450 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 44 กรัม หรือ 11 ช้อนชา
เครื่องดื่มเพิ่มสวย 1 ขวด (360 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 26 กรัม หรือ 6.5 ช้อนชา
นมเปรี้ยว 1 ขวดเล็ก (80 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3.6 ช้อนชา
ชาเขียว 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3.72-7.65 ช้อนชา
นมรสหวาน 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 1.8-2 ช้อนชา
นมรสช็อกโกแลต 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3-4 ช้อนชา
เห็นตัวเลขปริมาณน้ำตาลแบบนี้แล้ว แต่หลายคนอาจยัง (แอบ) สงสัย ว่า เอ...ก็ไม่เห็นฉลากข้างขวดเขียนบอกเลยนี่น่าว่ามี "น้ำตาล" ผสมอยู่มากขนาดนี้ เอ้า...ลองสังเกตดูดี ๆ ก่อนค่ะ ผู้ผลิตเครื่องดื่มส่วนใหญ่เขาจะไม่ใช้คำว่า "น้ำตาล" หรอกนะ แต่จะใช้คำว่า "ซูโครส" หรือ "ฟรุกโตส" ที่ก็คือน้ำตาลอีกชนิดหนึ่งนั่นเอง
โดยเฉพาะ "ฟรุกโตส" ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีราคาถูก แถมยังให้ความหวานถึงใจ แต่โรคร้ายก็ตามมาถึงที่เช่นกัน ดังที่งานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นได้ยืนยันว่า น้ำตาลฟรุกโตสมีผลทำให้ความจำสั้น ทำให้การเรียนรู้ต่ำ แถมขัดขวางไม่ให้ร่างกายส่งสัญญาณอิ่มไปยังสมอง ซึ่งก็จะทำให้เรายิ่งทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว หรือก็คือทำให้อ้วนขึ้นไงล่ะ
อย่าลืมแชร์ต่อบอกต่อให้เพื่อๆหรือคนที่คุณรักรู้ต่อๆกันด้วยเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของทุกคน
ด้วยความห่วงใยจาก Balance
นั่นเพราะ "น้ำตาล" ตัวการของความอ้วนที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของคุณนี่ล่ะคะ ที่ทำให้รอบเอวของคุณขยายออกแบบขัดใจกับความพยายาม Balance น้ำหนักเสียจริง โดยมีข้อมูลระบุว่า ได้กำหนดให้ปริมาณน้ำตาลไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่ได้รับใน 1 วัน เพื่อสุขภาพที่ดี ใน 1 วันเราควรทานน้ำตาลไม่เกิน 4, 6 และ 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1600, 2000 และ 2400 กิโลแคลอรี (หรือผู้หญิงไม่ควรเกิน 4 ช้อนชา, ผู้ชายไม่ควรเกิน 6-8 ช้อนชา) ซึ่งเท่ากับประมาณร้อยละ 5 โดยเฉลี่ย โดยส่วนที่เหลือได้เผื่อไว้สำหรับน้ำตาลที่ได้รับจากอาหารอื่นซึ่งไม่ทราบปริมาณ
แต่เอ...ดูเหมือนว่าคนไทยจะทานน้ำตาลกันมากถึงวันละ 25 ช้อนชา ซึ่งน้ำตาลเหล่านี้ที่ทำให้เราอ้วน ไม่ใช่ว่าเราตั้งใจจะทานเข้าปากโดยตลอดหรอกนะจ๊ะ แต่เพราะมันซุกซ่อนอยู่ในส่วนผสมอาหารหลายชนิด รวมทั้งที่คาดไม่ถึงอย่าง "เครื่องดื่ม" ที่เราดื่มกันเข้าไปด้วย
ทั้งนี้ จากข้อมูลของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่นำเสนอในรายการ "Fat Fact ความจริงรอบพุง" ทางช่องไทยพีบีเอส ได้บอกให้เรารู้ว่า "เครื่องดื่ม" ที่วางขายอยู่ในท้องตลาดมี "น้ำตาล" เป็นส่วนผสมในปริมาณมหาศาลอย่างน่าตกใจ และมากเพียงพอที่จะทำให้โรคร้ายย่างกรายมาทำร้ายสุขภาพของเราซะด้วย
....เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เห็นทีจะต้องไปสำรวจดูปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ กันดูเสียหน่อย จะได้รู้กันไปเลยว่า เครื่องดื่มชนิดไหนน่ากลัวสุด ๆ ขอบอกก่อนว่า เครื่องดื่มหลายชนิด ดื่มเพียงแค่ 1 แก้ว 1 ขวด หรือ 1 กล่อง ก็มีน้ำตาลเกิน 4-6 ช้อนชา ซึ่งเป็นปริมาณต่ำสุดที่แนะนำให้ทานในหนึ่งวันซะแล้ว แล้วแบบนี้ถ้าเกิดเผาผลาญไม่หมด น้ำตาลจะถูกเปลี่ยนรูปไปเป็นไขมัน แล้วจะไม่ให้อ้วนได้อย่างไรล่ะ?
สำรวจปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ
กาแฟ 3 in 1 1 ซองเล็ก มีน้ำตาลผสมอยู่ 2.7 ช้อนชา
กาแฟสด 1 แก้ว มีน้ำตาลผสมอยู่ 7 ช้อนชา
น้ำผักและผลไม้ 1 ขวด (300 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 37 กรัม หรือ 7.7 ช้อนชา
น้ำผลไม้ผสม 1 ขวด (400 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 10 ช้อนชา
น้ำอัดลม 1 กระป๋อง (325 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 8 ช้อนชา
เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวด (100 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 6.25 ช้อนชา
เครื่องดื่มเสริมหล่อ 1 ขวด (450 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 44 กรัม หรือ 11 ช้อนชา
เครื่องดื่มเพิ่มสวย 1 ขวด (360 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 26 กรัม หรือ 6.5 ช้อนชา
นมเปรี้ยว 1 ขวดเล็ก (80 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3.6 ช้อนชา
ชาเขียว 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3.72-7.65 ช้อนชา
นมรสหวาน 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 1.8-2 ช้อนชา
นมรสช็อกโกแลต 1 กล่อง (250 มิลลิลิตร) มีน้ำตาลผสมอยู่ 3-4 ช้อนชา
เห็นตัวเลขปริมาณน้ำตาลแบบนี้แล้ว แต่หลายคนอาจยัง (แอบ) สงสัย ว่า เอ...ก็ไม่เห็นฉลากข้างขวดเขียนบอกเลยนี่น่าว่ามี "น้ำตาล" ผสมอยู่มากขนาดนี้ เอ้า...ลองสังเกตดูดี ๆ ก่อนค่ะ ผู้ผลิตเครื่องดื่มส่วนใหญ่เขาจะไม่ใช้คำว่า "น้ำตาล" หรอกนะ แต่จะใช้คำว่า "ซูโครส" หรือ "ฟรุกโตส" ที่ก็คือน้ำตาลอีกชนิดหนึ่งนั่นเอง
โดยเฉพาะ "ฟรุกโตส" ที่เป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีราคาถูก แถมยังให้ความหวานถึงใจ แต่โรคร้ายก็ตามมาถึงที่เช่นกัน ดังที่งานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นได้ยืนยันว่า น้ำตาลฟรุกโตสมีผลทำให้ความจำสั้น ทำให้การเรียนรู้ต่ำ แถมขัดขวางไม่ให้ร่างกายส่งสัญญาณอิ่มไปยังสมอง ซึ่งก็จะทำให้เรายิ่งทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว หรือก็คือทำให้อ้วนขึ้นไงล่ะ
อย่าลืมแชร์ต่อบอกต่อให้เพื่อๆหรือคนที่คุณรักรู้ต่อๆกันด้วยเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของทุกคน
ด้วยความห่วงใยจาก Balance
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น